องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้วันที่ 12 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันปอดอักเสบโลก หรือ World Pneumonia Day เพื่อสร้างความตระหนัก และความสำคัญ พร้อมร่วมรณรงค์ ปลุกจิตสำนึก เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปอดอักเสบแก่ประชาชนทั่วโลก ซึ่งจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรคติดเชื้อที่มีอุบัติการณ์การเสียชีวิตสูงสุดโรคหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2.5 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2562 โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กกว่า 672,000 คน1 และในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนนับล้านเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้น และโรค Invasive Pneumococcal Disease (IPD) ก็เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดอักเสบ และหลาย ๆ คนอาจไม่ทราบว่าโรค IPD ยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนในเด็กเล็กที่อายุ ต่ำกว่า 5 ปีด้วย2 ดังนั้นการสร้างการตระหนักรู้ในโรคนี้ รวมไปถึงการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ
ดังนั้นหากลูกหลานมีอาการใกล้เคียงกับโรค IPD ควรรีบได้รับการวินิจฉัย และรักษาจากแพทย์อย่างรวดเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและโอกาสการเกิดผลกระทบระยะยาว นอกจากนี้เชื้อนิวโมคอคคัสยังสามารถทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกหลายชนิดแม้ไม่รุนแรง แต่ก็พบได้บ่อย เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ แพทย์สามารถวินิจฉัยโรค IPD จากการซักประวัติ จากอาการ และการตรวจร่างกายผู้ป่วย เช่น การเอกซเรย์ปอด และการตรวจเสมหะ หรือส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันว่าอาการของโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส และเมื่อตรวจพบเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสแล้ว แพทย์จะทำการให้ยาต้านจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะในขนาดที่เหมาะสมกับโรคและอาการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็พบว่าในประเทศไทยเชื้อนิวโมคอคคัส มีอัตราการดื้อยาปฏิชีวนะสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการใช้ที่ไม่ถูกวิธี ทำให้พบปัญหาเชื้อดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้กระบวนการการรักษามีความซับซ้อน และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามากขึ้น นับได้ว่าสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ และกำลังของประเทศเป็นอย่างมาก จึงเป็นหน้าที่ของทุก ๆ ฝ่ายในการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั้งในด้านการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันเพื่อให้จำนวนผู้ป่วยลดน้อยลง ดังนั้นการป้องกันโรค IPD ด้วยการฉีดวัคซีนจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ในภาครัฐก็พร้อมที่จะช่วยกันผลักดันวัคซีน IPD เข้าสู่แผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค นอกจากนี้ประชาชนเองก็สามารถดูแลตนเองได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อให้ห่างไกลจากโรค IPD อาทิ หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นและรักษาระยะห่าง ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ปรึกษาแพทย์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม”
ด้าน ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงกุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กรรมการมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน กล่าวว่า “โรค IPD มักพบบ่อยในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีที่สุขภาพดีไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ ก็ตาม นอกจากนี้ยังพบบ่อยในเด็กที่มีโรคประจำตัวโดยไม่ขึ้นกับอายุ เช่น เด็กที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จากสาเหตุต่าง ๆ ภาวะไม่มีม้ามหรือการทำงานของม้ามบกพร่อง โรคเรื้อรังของอวัยวะต่าง ๆ เช่น โรคปอด (รวมทั้งหอบหืดรุนแรง) โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน และโรคที่เสี่ยงต่อเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น น้ำในกระดูกไขสันหลังรั่ว ใส่ชุดประสาทหูเทียม จากข้อมูลอัตราการเกิดโรค IPD จะเห็นว่า เด็กที่เป็น IPD มีภาวะเสี่ยงเหล่านี้เพียงประมาณ 1/3 เท่านั้น อีก 2/3 เป็นเด็กเล็กที่ไม่ได้มีภาวะเสี่ยงอื่นใด นอกจากอายุน้อย โดยเฉพาะที่น้อยกว่า 1 ปี เพราะ IPD เป็นโรคของเด็กเล็กเป็นหลักนอกจากนี้ ผู้สูงวัยที่อายุเกิน 65 ปี ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุต่าง ๆ และโรคเรื้อรังต่าง ๆ ทางสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยจึงมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีน IPD ให้กับเด็ก โดยในเด็กทารกเริ่มฉีดได้เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไป และฉีดเข็มต่อไปเมื่ออายุได้ 4 เดือน และ 6 เดือน และครั้งสุดท้ายในช่วงอายุ 12-15 เดือน7 วัคซีน IPD ที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความสามารถในการครอบคลุมสายพันธุ์ของเชื้อ IPD ที่แตกต่างกันออกไป วัคซีนที่ครอบคลุมสายพันธุ์ก่อโรคในประเทศไทยได้มากกว่าจะป้องกันโรคได้กว้างกว่า วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันทุกชนิดสามารถลดอุบัติการณ์การเกิดโรค IPD ของสายพันธุ์ที่บรรจุอยู่ในวัคซีนได้ดีมาก8 และเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยสูง จึงทำให้หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต่างบรรจุวัคซีน IPD อยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งทำให้เด็ก ๆ ในประเทศเหล่านั้นเข้าถึงวัคซีนกันอย่างทั่วหน้า และการที่เด็ก ๆ เข้าถึงวัคซีนได้มากกว่า 70% จะส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนจะสามารถได้รับภูมิคุ้มกันทางอ้อมไปด้วย ก็จะส่งผลให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังซึ่งเป็นสมาชิกร่วมบ้านกับเด็กเล็ก และเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรค IPD เช่นกัน ได้รับการป้องกันไปด้วย
ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลของประเทศไทยแล้วพบว่าการบรรจุวัคซีน IPD เข้าสู่แผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจะมีความคุ้มค่าอย่างมาก ช่วยประหยัดงบประมาณของภาครัฐในการรักษาได้เป็นอย่างดี ในขณะนี้ประเทศไทย มีเด็กไทยเพียงแค่ 10% เท่านั้นที่เข้าถึงวัคซีน IPD เนื่องจากยังไม่ถูกบรรจุอยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคซึ่งหมายถึงรัฐยังไม่ได้ให้ฟรี ยังคงเป็นวัคซีนที่คุณพ่อคุณแม่ ต้องเสียเงินซื้อเองอยู่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคนควรช่วยกันผลักดันให้เด็กไทยเข้าถึงวัคซีน IPD กันมากขึ้นซึ่ง ณ ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ได้มีโครงการฉีดวัคซีน IPD นำร่องที่จังหวัดมหาสารคาม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่วัคซีน IPD จะบรรจุอยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้เด็กไทยทั่วประเทศ เด็ก ๆ ในจังหวัดมหาสารคามสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ฟรีก่อนจังหวัดอื่น นอกจากนี้ ทางกรุงเทพมหานคร กำลังดำเนินโครงการให้วัคซีน IPD แก่เด็กในกรุงเทพมหานครแล้ว ที่จริงแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ก็สามารถมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน หรือทำให้เด็ก ๆ ได้รับวัคซีนจำเป็นตัวนี้โดยเร็วที่สุดได้เช่นกัน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจจัดสรรงบประมาณบางส่วนมาซื้อวัคซีน IPD ให้เด็ก ๆ ในเขตปกครองของตนเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร และดังเช่นในวันนี้ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ก็ได้จัดทำโครงการที่สำคัญนี้โดยได้รับการสนับสนุนวัคซีนจากไฟเซอร์ เพื่อให้เด็ก ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อ IPD ได้เข้าถึงวัคซีน และได้รับการป้องกันมากขึ้น”
เอกสารอ้างอิง:
1.
World Pneumonia Day 2022. Access 10 Nov
2022. https://stoppneumonia.org/
2.
Isaacman DJ et al. International Journal
of Infectious Disease. 2010;14:e197-e209
3.
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย.
โรคไอพีดี (IPD). Access 10 Nov 2022. https://www.pidst.or.th/A744.html
4.
Baldo V et al. Prev Med
Rep. 2015;2:27–31.
5.
Dilokthornsakul P et al.
Vaccine. 2019;37:4551-4560.
6.
World Health
Organization. Pneumococcal vaccines WHO position paper—2012. Wkly Epidemiol
Rec. 2012;87(14):129-144.
7.
ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2565.
Access 10 Nov 2022. https://www.pidst.or.th/A1150.html
8.
Moore MR, et al. Lancet
Infect Dis. 2015;15(3):301-309
No comments:
Post a Comment