โดยสาเหตุการเกิดความผิดปกตินี้ มักเกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดทิศทางของกระดูกอ่อนทรวงอก โดยมาก มักพบแบบอกบุ๋มมากกว่าอกนูนและมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่ทรวงอกผิดรูป จะไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย แต่อาจจะมีในบางรายเท่านั้น ที่ส่งผลต่อการทำงานของปอดและหัวใจทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่ความผิดรูปของกระดูกทรวงอกเหล่านี้ ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันกับผู้ป่วยหรือสังคมคนรอบข้างเองก็ตาม
ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้องปอดและต่อมไทมัส คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล ได้กล่าวว่า เดิมทีการผ่าตัดแก้ไขในโรคอกบุ๋ม (Pectus excavanatum)นั้น สามารถทำได้โดยตัดบริเวณกระดูกอ่อนซี่โครงหลายชิ้นและพลิกกลับด้าน หรือที่เรียกว่า (Sternum turnover) ซึ่งการผ่าตัดนี้มักเกิดภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างมาก แต่ในปัจจุบันการผ่าตัดรักษาโรคอกบุ๋ม นี้ค่อนข้างพัฒนาไปมาก โรคอกบุ๋มเกิดจากภาวะที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติบริเวณกระดูกซี่โครงทำให้นูนผิดปกติ ซึ่งถ้าเป็นตั้งแต่เด็ก มีโอกาสที่จะอกบุ๋มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น จนกระทั่งการเจริญเติบโตเริ่มคงที่ ซึ่งภาวะอกบุ๋มนี้ จะไม่มีผลอะไรต่อร่างกาย ยกเว้นในกรณีที่อกบุ๋มรุนแรง อาจมีกดเบียดบริเวณปอดและหัวใจได้
สำหรับวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้องในประเทศไทย จะมีการนำวัสดุประเภทเหล็ก นำไปดัดเข้ารูปเข้าไปดามกระดูกที่ผิดรูปผ่านทางการผ่าตัดส่องกล้องทางด้านบริเวณลำตัวทั้ง 2 ข้าง โดยการผ่าตัดวิธีนี้จะมีขนาดแผลประมาณ 3 เซนติเมตรเท่านั้น โดยเรียกวิธีนี้ว่า การผ่าตัด Nuss procedure โดยเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว เราจะคาเหล็กไว้ในร่างกายประมาณ 3-4 ปี เพื่อให้เนื้อเยื่อพังพืดมาทดแทนบริเวณโลหะ แล้วจึงนำแท่งเหล็กออกมาจากร่างกาย ซึ่งการผ่าตัดประเภทนี้สามารถลดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตามการผ่าตัดในอดีตนั้นทำได้โดยการตัดกระดูกอ่อนออกบางส่วน แล้วยึดติดกับกระดูกหน้าอก แต่จากนวัตกรรมการผ่าตัดในยุคปัจจุบัน เราใช้การผ่าตัดโดยการทำให้โลหะดันกระดูกสันอกลงไปหรือที่เรียกว่า Reverse Nuss bar procedure ซึ่งทำตรงกันข้ามกับการผ่าตัดอกบุ๋มนั่นเอง
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการรักษาโรคนี้สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก “ผ่าตัดปอด” หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ lineofficial : @lungsurgeryth
No comments:
Post a Comment