![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEifU5p6-McjNkY5YFgb07ATgvpkWKYmm_JF4kom0kBgmXqW4tXbiML7A7c2gtpBrQLXcOFGgkt74Pav3JDCY_w2JTulJ1yWv6pJnXOvfNiaBo0Pn2nQnmn3MqxJbd_gXQYfqrwt8l2OYl6qmVtRDPtHURLgojJ8s1z6sp05Co9QW2RpREMsmJQjj5O6TcA/s16000/S__30916659.jpg)
อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อว่า การสวดโอ้เอ้วิหารราย นับเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่สรรค์สร้างขึ้นตั้งแต่ในครั้งอดีต เป็นการสวดกาพย์ลํานําที่มีท่วงทํานองเนิบช้า และบทพรรณนายืดยาวในวิหารรายหรือศาลารายที่สร้างขึ้นเป็นหลังๆ เรียงกันรอบพระอุโบสถ ซึ่งเป็นการสวดฝึกซ้อมของนักเทศน์ในสมัยก่อน จากนั้นปรับเปลี่ยนมาเป็นการสวดที่มีท่วงทำนองไพเราะเพิ่มปรับความช้าเร็วตามกาลเวลา การสวดโอ้เอ้วิหารรายมี 3 ทำนอง คือ ทำนองกาพย์ยานี 11ทำนองกาพย์สุรางคนางค์ 28 และทำนองกาพย์ฉบัง 16 ในปัจจุบันยังคงมีการสวดอยู่ที่ศาลารายรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในระหว่างเข้าพรรษา กลางพรรษา และออกพรรษา ทั้งยังมีการจัดประกวดการสวดโอ้เอ้วิหารรายประจำทุกปีเพื่ออนุรักษ์และสืบสานไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป
ทั้งนี้ การสวดโอ้เอ้วิหารราย เป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสวดโอ้เอ้วิหารราย และได้มีส่วนร่วมของการสืบสานธรรมเนียมการสวดโอ้เอ้วิหารรายที่กำลังจะเลือนหายไปจากสังคมไทย ให้ดำรงคงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ตลอดจนช่วยให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
No comments:
Post a Comment