![](https://www.asiannewschannel1.com/wp-content/uploads/2022/09/FEBC7532-776B-47CE-A16E-0E8A01FD6879-1024x682.jpeg)
รศ.ดร.สุธา ขาวเธียร จากศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย (ศสอ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ปริมาณซากผลิตภัณฑ์ฯ จากชุมชนในปี 2563 พบว่ามีปริมาณ428,000 ตัน/ปี กว่า 70 % เป็นซากผลิตภัณฑ์ 5 ชนิด คือ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ โทรศัพท์และ คอมพิวเตอร์ ซึ่งซากผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ยังถูกเก็บไว้ในครัวเรือน ยังไม่ได้รับการจัดการและอีกส่วนหนึ่งถูกจัดการด้วยกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย จากปัญหาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังขาดการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แผนงานวิจัยฯ จึงได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลการจัดการซากผลิตภัณฑ์ อย่างต่อเนื่องจากแผนงาน การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และของเสียอันตรายชุมชน ระยะที่ 1 ซึ่งศึกษาและรวบรวมฐานข้อมูลการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบ ครอบคลุมตั้งแต่ผู้บริโภคจนถึงปลายทางการกำจัด และได้นำมาต่อยอด บูรณาการสร้างเป็นฐานข้อมูลที่สามารถนำไปสู่การวางแผนและกำหนดนโยบายการจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนข้อมูลในการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
![](https://www.asiannewschannel1.com/wp-content/uploads/2022/09/0E3849C2-876E-49A1-B6FB-F9116AA07414-1024x576.jpeg)
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภคมีการยืดอายุผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ จึงมีผลต่อปริมาณซากผลิตภัณฑ์ ที่เข้าสู่ระบบ เช่น เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ซึ่งมีอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี ถึงเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม และเรียกคนมารับซื้อซากผลิตภัณฑ์ที่บ้าน ส่วนซากผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต จะมีอายุการใช้งาน 4-5 ปี ส่วนใหญ่ซากผลิตภัณฑ์จะยังถูกเก็บไว้ในบ้าน ดังนั้นเพื่อให้เกิดระบบการจัดการ จำเป็นต้องมีมาตรการจูงใจให้เกิดการยอมรับ หรือ Willingness To Accept เพื่อดึงซากผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ จากนั้นซากผลิตภัณฑ์ ที่ถูกรวบรวมจากบ้านเรือนจะถูกส่งต่อเข้าสู่กระบวนการรื้อแยกและรีไซเคิล
![](https://www.asiannewschannel1.com/wp-content/uploads/2022/09/28784D6B-8988-4456-9AA5-E2DDBBA6FB41-1024x768.jpeg)
สำหรับกระบวนการรื้อแยก สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การรื้อแยกโดยกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายหรือ Informal Sector และการรื้อแยกโดยโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง หรือ Formal sector ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า การรื้อแยกทางกายภาพของทั้ง 2 รูปแบบไม่แตกต่างกัน เช่น ผลของการรื้อแยกโทรทัศน์ได้วัสดุมีค่าประมาณ 30-40 % และมีเศษวัสดุเหลือทิ้งประมาณ 60-70 % ทั้งนี้วัสดุที่ได้จากการรื้อแยกซากผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการรีไซเคิลในประเทศ ส่วนการรีไซเคิลแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีการทางเคมีอาจต้องดำเนินการในกลุ่มของโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้องเท่านั้น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ทำให้ได้โลหะที่มีค่า เช่นเงิน ทอง และพาลาเดียม แต่จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเพราะจะได้โลหะที่เป็นพิษมาด้วย เช่น โครเมียมอาร์เซนิก ตะกั่ว และแคดเมียม
รศ.ดร.สุธา กล่าวว่า จากผลการศึกษาทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการจัดการซากผลิตภัณฑ์โดยในระยะแรกควรมีมาตรการในการดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ร่วมกับการผลักดันให้มีการออกกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบโดยเฉพาะ และส่งเสริมให้มีการนำซากผลิตภัณฑ์ เข้าสู่ระบบการจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ทั้งระบบควรตระหนักและมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ของตนเอง
![](https://www.asiannewschannel1.com/wp-content/uploads/2022/09/25B31CE4-A9F6-475A-805F-BA06AD62D6E9-1024x768.jpeg)
![](https://www.asiannewschannel1.com/wp-content/uploads/2022/09/1EBD5B96-B060-44BB-8A23-24B5EDD1CD5D-1024x768.jpeg)
อย่างไรก็ตาม การรับผิดชอบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ระหว่างผู้ผลิต และผู้โภคควรใช้กลไกผสมผสานทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ ในส่วนของกระบวนการรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ ควรตั้งจุดรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ควรมีการสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์รวบรวมซากผลิตภัณฑ์ สู่ท้องถิ่นที่มีความพร้อมและศักยภาพ และควรพัฒนาระบบแพลตฟอร์มการติดตามซากผลิตภัณฑ์ ตลอดกระบวนการขนส่ง อีกทั้งควรมีการยกระดับผู้รวบรวมและผู้รื้อแยกที่เป็นกลุ่มรับซื้อของเก่าและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยอาจต้องมีการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาบังคับใช้ร่วมด้วย เช่น ประกาศกระทรวงเรื่องกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkfrRdETcToeb6-_duYKPO5GIK1cpuctllQLphUV0mAv2C1bQvLFFLMYSBs8RLTh19ZfTSNSu2lHfKPVtsdgRkmTmbBBTi_rusNZXfq6B_Tia3A1M5nfSoCiKN9kB-bNPsJgy5wnDt4Xb6Vkwsw4W5K4U3NNHHCXRh1IbebHu6E-5oAsJO94vRim6F/s16000/ta.jpg)
No comments:
Post a Comment