ภาคประชาชน บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ หยุดนโยบายเปิดขายน้ำเมายันหว่าง - BIZTHAI POST

BIZTHAI POST

The Thai Biz Website

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Wednesday, September 24, 2025

ภาคประชาชน บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ หยุดนโยบายเปิดขายน้ำเมายันหว่าง


ภาคประชาชน บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ หยุดนโยบายเปิดขายน้ำเมายันหว่าง ชี้ก่อปัญหา สูญเสียมากกว่าภาษีที่เก็บได้  วอนอย่าหูเบาฟังแต่เสียงทุนน้ำเมา  เชียร์แก้ พ.ร.บ.สถานบริการ ดึงร้านเหล้าที่คล้ายสถานบริการเข้าระบบ วางเกณฑ์คุมเข้ม ขายเหล้าเพิ่มความรับผิดชอบ


วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล- เครือข่ายชุมชนรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง พร้อมด้วยประชาชนและเหยื่อจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กว่า 100 คนแบกศพจำลองที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้ายื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อคัดค้านการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงเวลา 04.00 น. และสนับสนุนการแก้ไขพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ.2509


นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวว่า จากการที่มีรายงานข่าวทางสื่อมวลชน โดยอ้างเป็นแหล่งข่าวว่านายอนุทิน ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 ต.ค.2568 ให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมหารือเพื่อยกเลิกโซนนิ่งพื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เปิดกว้างขายได้ทั่วประเทศ และขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง เวลา 04.00 น. หรือ เปิดผับบาร์ได้ถึงตี 4 จากปัจจุบันเปิดให้บริการได้ถึง 02.00 น. และให้ยกเลิกข้อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. เริ่มในเดือนม.ค. 2569 ก่อนยุบสภา และยังอ้างอีกว่าจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น ทั้งนี้ขอให้มีการตรวจสอบการใช้คำว่าแหล่งข่าวกล่าวอ้างข้อสั่งการนายกฯ ในที่ประชุมครม.นั้นจริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาก็เคยมีเหตุการณ์แอบอ้าง หรือความพยายามปล่อยข่าวแบบเดียวกันนี้จากฝั่งผู้ประกอบกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนทำให้สังคมเกิดความสับสน หวังผลประโยชน์ในทางธุรกิจ ยิ่งมีการอ้างถึงตัวเลขรายได้ที่จะได้จากการขยายเวลาขายเหล้า เบียร์ เพิ่มถึง 5 แสนล้าน เป็นตัวเลขที่เลื่อนลอยไม่มีที่มาที่ไป เพราะปัจจุบันค่าการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อปีก็อยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านอยู่แล้ว ตัวเลขที่อ้างว่าภาครัฐจะได้มีรายได้ภาษีเพิ่มจากข้อเสนอนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ และเป็นไปไม่ได้เลย

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกตัวอย่างรายงานของ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ที่รวบรวมข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เสนอผ่านสื่อในปี 2566 รวม 1,086 ข่าว มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น 316 ข่าว คิดเป็น 29.1% และการศึกษาของดร.ชิด ซู ทินน์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล เก็บกลุ่มตัวอย่างในเยาวชนอายุ 15-23 ปี 1,538 คน ในโรงเรียน 6 แห่ง จากทุกภูมิภาคของไทย พบมีปัญหาที่เกิดจากการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากปี 2551 อยู่ที่ 14.8% เพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ในปี 2558 พบปัญหาเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ส่งผลให้เด็กมีโอกาสที่จะกลายเป็นนักดื่ม และมีปัญหาทางสุขภาพจิต และเชื่อมโยงกับการติดพนัน และใช้สารเสพติด เป็นต้น ขณะที่อุบัติเหตุทางถนนนั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่า เกินครึ่ง
 
 
ด้านนางสาวเครือมาศ  ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กล่าวว่า เครือข่ายฯ ขอแสดงจุดยืนและมีข้อเสนอต่อนายกฯ และรัฐบาล ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลตอบให้ชัดว่ามีนโยบายดังกล่าวจริงหรือไม่ และควรแสดงจุดยืนให้ชัดว่ารัฐบาลนี้จะสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ ความปลอดภัยของประชาชนกับผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างไร โดยเฉพาะนายอนุทินซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน ซึ่งควรจะเข้าใจในมิติสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ไม่หูเบาตามกลุ่มลอบบี้ยีสต์ทุนน้ำเมาไม่ทำในสิ่งที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน     2. ขอให้รัฐบาลเร่งประเมินผลการนำร่องขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบริการได้จนถึงตี 4 ที่ทำมาเกือบ 2 ปี ในพื้นกรุงเทพมหานคร, จ.ภูเก็ต, จ.ชลบุรี, จ.เชียงใหม่ และท้องที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ประสบความสำเร็จอย่างที่อ้างกันหรือไม่ ทั้งมิติการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความปลอดภัย อุบัติเหตุ ความรุนแรงและความสูญเสีย หากพบว่าไม่คุ้มค่าควรยกเลิกทันที   3.ข้อเสนอให้ยกเลิกเวลาห้ามขายช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรือจำเป็นเร่งด่วน ขอยืนยันว่าช่วงเวลาดังกล่าวควรเป็นช่วงเวลาความปลอดภัยประชาชนทุกคน ทั้งคนทำงาน เด็กนักเรียน ไม่ใช่เวลาทองของคนขายเหล้า



 ทั้งนี้ปัจจุบันข้อมูลความสูญเสียโดยรวมจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 170,000 ล้านบาท สูงกว่าภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บได้จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ปีละ 150,000 ล้านบาท เท่ากับเป็นภาระระบบสุขภาพที่ได้ไม่คุ้มเสียอยู่แล้ว 4. พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 และการกำหนดโซนนิ่งในปัจจุบันมีความล้าหลัง จึงควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อจัดระเบียบใหม่กับสถานบริการที่มีเกือบ 1,800 ราย และจัดการสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการที่คาดว่ามีมากกว่า 200,000 ราย เพื่อให้เข้าสู่ระบบ รวมถึงขยายความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการให้มากขึ้น ปิดช่องการรับส่วย หากฝ่าฝืนมีบทลงโทษหนัก เช่น สั่งปิดสถานบริการ 1-5 ปี เป็นต้น และ  5. ขอเรียกร้องไปยังผู้ประกอบการร้านเหล้า ผับ บาร์ ให้ยุติการผลักดันข้อเสนอที่ทำเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง โดยไม่สนใจความสูญเสีย ความปลอดภัยของสังคม ขอให้ร่วมกันแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการปฏิบัติตามและเคารพกฎหมายดีกว่า

No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad





Pages