ที่ประชุม กอวช. ถก มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในไทย “สอวช.” เสนอ สนับสนุนทุนวิจัย พัฒนาบุคลากร เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (กอวช.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงฯ (สป.อว.) เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้หารือกันถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย

ดร.ธนาคาร ยังได้นำเสนอถึงปัญหาอุปสรรคสำคัญของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย เมื่อเทียบกับนโยบายและมาตรการ ส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในต่างประเทศ ที่มีการออกมาตรการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งในด้านอุปทาน (supply) และอุปสงค์ (demand) ไปควบคู่กัน นอกจากนี้ยังมีการให้ทุนวิจัยด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่โครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 3–5 ปี ซึ่งหากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนคาดว่า ภายในปีนี้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 กิกะวัตต์-ชั่วโมง มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท
ในทางกลับกัน หากไม่ได้รับการสนับสนุนก็จะส่งผลกระทบ 4 ด้าน ได้แก่ 1. สูญเสียเม็ดเงินในเศรษฐกิจ 135,000 – 435,000 ล้านบาทต่อปี 2. สูญเสียการลงทุนในประเทศ 30,000 - 132,000 ล้านบาท จากการตั้งโรงงานในประเทศ 3. สูญเสียโอกาสในการจ้างงาน อย่างน้อย 1,000 อัตรา ซึ่งจะกระทบถึง 500-1,000 ครัวเรือน และ 4. สูญเสียโอกาสในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโอกาสในการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รวมค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ จากการไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อย่างน้อย 560,000 ล้านบาท (3.1% GDP ไทย) และเสียโอกาสทางตรงต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ 140,000 ล้านบาท (0.8% GDP ไทย)
ดร.ธนาคาร ได้นำเสนอร่างข้อเสนอการกำหนดเป้าหมายของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย โดยขอให้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ขั้นต่ำสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใน 2 กลุ่ม คือ 1. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 30 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030 และ 2. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับ อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ยานยนต์ไฟฟ้า 13.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030

ลงทุนเครื่องจักรเพื่อการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน (เช่น อุตสาหกรรม โดรน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น) จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม 7. กรณีที่จัดตั้งโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ในจังหวัดรอง จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอมาตรการ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยระยะสั้น ขอให้กระทรวง อว. พิจารณาจัดสรรทุนวิจัยขนาดใหญ่ในลักษณะ Multi-year รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรใหม่ และการพัฒนาบุคลากร รีสกิล อัพสกิล วิศวกรและนักวิจัยที่มีอยู่ และนักศึกษาสาย STEM ชั้นปีที่ 3 - 4 ให้สามารถทำงานในโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้ สนับสนุนการดึงบุคลากรไทยที่ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กลับมาทำงานให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณายกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้า รวมถึงพิจารณายกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่เซลล์เพื่อวิจัยพัฒนา และขอให้พิจารณาจัดตั้ง หรือ สนับสนุนให้มีการประชุมของคณะกรรมการหรืออนุกรรมการระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ที่ใช้ได้กับหลายอุตสาหกรรม
สำหรับมาตรการระยะกลาง ควรมีการจัดสรรทุนวิจัย Multi-year และงบพัฒนาบุคลากรสำหรับการวิจัยการรีไซเคิลแบตเตอรี่ และการผลิตวัตถุดิบจากวัสดุรีไซเคิล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดสรรเงินอุดหนุนแบตเตอรี่ความจุสูง ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ จัดมาตรการลดหย่อนภาษีบุคคล นิติบุคคล พิจารณาปรับขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าแบตเตอรี่ความจุสูงจากต่างประเทศเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง
ส่วนมาตรการระยะยาว เน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยสามารถผลิตแบตเตอรี่ใช้เองมากขึ้น ในกรณีที่หากไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่จากต่างประเทศได้ รวมถึงการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ตลอดจนขยายศักยภาพในการออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค และการทดสอบแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือกันในเรื่องดังกล่าว โดยในภาพรวมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สอวช. ขณะเดียวกันได้ขอให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้สอดรับกับมาตรการที่ได้นำเสนอ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ
No comments:
Post a Comment